10 หนังแจ้งเกิดจากเทศกาลซันแดนซ์
หนึ่งในเทศกาลหนังที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับจากวงการหนังและผู้ชมทั่วโลกก็คือ เทศกาลหนังซันแดนซ์ ที่จัดทุกเดือนมกราคม ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ซันแดนซ์ เริ่มจัดกันมาตั้งแต่ปี 1978 แรกเริ่มใช้ชื่อว่า US/Utah Film Festival และมาเปลี่ยนเป็น "เทศกาลหนังซันแดนซ์" ในปี 1984 จุดประสงค์ของเทศกาลก็เพื่อสนับสนุนผู้สร้างหนังอิสระ ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง ผู้ประพันธ์เพลง เปิดตลาดให้กับบุคคลเหล่านี้ได้มีโอกาสแนะนำผลงานของตัวเองต่อตัวแทนจำหน่ายหนังทั่วโลกโดยไม่ขึ้นกับกลไลของฮอลลีวู้ด ผุ้ที่อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังซันแดนซ์คือ สถาบันซันแดนซ์ที่ก่อตั้งโดยโรเบิร์ต เรดฟอร์ด ดาราและผู้กำกับชื่อดังของฮอลลีวู้ด ผู้เป็นชาวยูทาห์โดยกำเนิด และชื่อเสียงของเรดฟอร์ดก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยประชาสัมพันธ์เทศกาลได้เป็นอย่าดี แรกเริ่มเดิมทีเรดฟอร์ดต้องการที่จะดึงผู้คนจากในวงการหนังให้เข้ามาในยุทาห์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์รัฐ
สถาบันซันแดนซ์ยังสนับสนุนผู้สร้างหนังอิสระด้วยการให้ใช้ห้องแลบ จัดหานายทุนในการสร้างหนัง และยังมีผู้เชียวชาญในวงการมาให้คำปรึกษา ทำให้มีผู้สร้างและหนังที่ประสบความสำเร็จจากสถาบันไปมากราย ด้วยความสำเร็จของซันแดนซ์ ทำให้ตราสัญลักษณ์ซันแดนซ์ดูมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และผู้จัดก็เปิดกว้างมากขึ้น จากเดิมที่จำกัดไว้เฉพาะนักสร้างหนังอเมริกันเท่านั้น ก็อ้าแขนต้อนรับผู้สร้างหนังอิสระจากทั่วโลก เช่นเดียวกับ "Killing Ground" หรือในชื่อไทย "แดนระยำ" หนังทุนต่ำจากทีมผู้สร้างออสเตรเลีย ก็ได้มาฉายรอบปฐมทัศน์ในซันแดนซ์ไปเมื่อต้นปี 2017 นี้ ก็พะยี่ห้อได้ว่าเป็นหนังที่ได้ผ่านเทศกาลซันแดนซ์มาแล้วเช่นกัน ตลอดระยะเวลา 39 ปี มีหนังที่โด่งดังไปทั่วโลก เพราะมาฉายโชว์ หรือได้รางวัลจากเทศกาลไปมากมาย สร้างชื่อให้กับดารา และผู้กำกับ จนไปเป็นระดับต้น ๆ ของฮอลลีวู้ดก็มาก หลาย ๆ คนเรารู้จักกันดี แต่ก็อาจจะไม่ทราบว่า เขาเหล่านี้ต่างก็แจ้งเกิดมาจากเทศกาลซันแดนซ์นี่เอง
1. Reservoir Dogs (1992)
อีก 1 ผู้กำกับระดับตำนานที่ผ่านเทศกาลซันแดนซ์มาแล้ว เควนติน ตารันติโน Reservoir Dogs ของเขา ถูกขนานนามว่านี่คือ"หนังที่สร้างอิทธิพลสูงสุดต่อวงการหนังอิสระ" หนังกวาดหลายรางวัลมาจากหลายเทศกาล และมาเข้าประกวดรางวัล "แกรนด์จูรีไพรซ์" ในซันแดนซ์ แต่ถึงแม้หนังจะพลาดรางวัลไป แต่ความโหด ดิบ ของหนังก็ทิ้งความอึ้ง ตะลึง ไว้ให้กับผู้ชมและนักวิจารณ์ที่ได้ชมในวันนั้น
เรื่องราวของ 6 โจรรับจ้างที่ไม่มีใครรู้จักกันแต่ใช้ชื่อ ส้ม น้ำตาล น้ำเงิน บลอนด์ ขาว ชมพู แทนชื่อจริง พวกเขาร่วมกันปล้นเพชร แต่ว่าล้มเหลว ทั้ง6ต่างเริ่มสงสัยกันเอง ว่าหนึ่งในพวกเขาคือสายตำรวจ หนังเต็มไปด้วยความโหด เลือดท่วมจอ โดยเฉพาะฉากตัดหู ที่ทำได้หวาดเสียวมาก และเสียงร่ำลือถึงความโหดเนี่ยล่ะ ที่ส่งผลให้กวาดรายได้ไปถึง 14 ล้านจากทุนสร้างเพียง 1.5 ล้าน ความสำเร็จของ Reservoir Dogs ทำให้เควนติน ได้ทุนสร้างกับผลงานเรื่องต่อไป ซึ่งกลายเป็นมาสเตอร์พีซของเขา "Pulp Fiction"(1994)
2. Sex, Lies & Videotape (1989)
แอน กับ จอห์น เป็นคู่สามีภรรยา ที่ไม่ปกติสุขนัก เพราะแอนน์ เป็นแม่บ้านที่ค่อนข้างเงียบขรึม แม้กระทั่งรู้ว่า จอห์นแอบมีอะไรกับซินเธียน้องสาวของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเกรแฮมเพื่อนเก่าของจอห์นเข้ามาเยี่ยมเยียนครอบครัวนี้ และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงตลอดไป เพราะเกรแฮม มีงานอดิเรกชอบถ่ายวีดีโอเทปให้สาว ๆ สารภาพความในใจ นั่นคือเรื่องราวของ Sex, Lies & Videotape หนังที่คว้ารางวัล "ขวัญใจผู้ชม" จากซันแดนซ์ได้ในปี 1989 และก่อนหน้านั้นเขาไปคว้ารางวัล "ปาล์มทองคำ" จากเทศกาลคานส์มาแล้ว และถูกบันทึกว่าเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่เคยคว้ารางวัลนี้ ในวันนั้น สตีเวน อายุเพียง 26 ปี และสุดท้ายก็ได้เข้าชิงออสการ์ในสาขา "บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" ในปี 2000 ส่งผลให้ชื่อของสตีเวน โซเดอร์เบิร์ก เป็นผู้กำกับหนังอิสระในยุคต้น 90s ที่ประสบความสำเร็จที่สุดทั้งในด้านรายได้และรางวัล ขนาดโรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ชื่อดังยังตั้งฉายาให้เขาว่า "the poster boy of the Sundance generation"
3. Blood Simple (1984)
หนังของผู้กำกับพี่น้องชื่อดัง อีธาน และ โจเอล โคเอ็น ก็แจ้งเกิดจากเทศกาลซันแดนซ์เช่นกัน Blood Simple เข้ามาประกวดในซันแดนซ์ปี 1985 ปีที่ 2 ของเทศกาล และคว้ารางวัล "แกรนด์จูรีไพรซ์"ในสายดรามา ไปได้ Blood Simple ไม่เพียงแต่สร้างชื่อให้กับพี่น้องโคเอ็นแต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเทศกาลซันแดนซ์อีกด้วย ที่เป็นจุดกำเนิดให้กับผู้กำกับมากพรสวรรค์เช่นนี้ และยังสร้างชื่อให้กับ ฟรานเซส แมคดอร์มานด์ เมียของ โจเอ็น และดาราขาประจำของทั้งคู่อีกด้วย
Blood Simple เล่าเรื่องของ จูเลียน มาร์ตี้ เจ้าของบาร์จอมโฉดในเท็กซัส มาร์ตี้ ส่งสัยว่าแอบบี้ เป็นชู้กับ เรย์ บาร์เทนเดอร์ของเขาเอง เลยจ้าง วิซเซอร์นักสืบอิสระให้ไปสังหารเมียและชู้และทำการทำลายศพเสีย แต่แอบบี้และเรย์ไหวตัวทัน เรื่องราวเลยไม่เป็นไปตามแผน แต่พาทั้งหมดไปสู่สถานการณ์วุ่นวายเกิดคาด หนังใช้ทุนสร้าง 1.5 ล้านเหรียญ แต่ทำเงินไป 4.2 ล้านเหรียญ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงามของพี่น้องโคเอ็น ซึ่งส่งผลให้เขาเป็นผู้กำกับพี่น้องที่ประสบความสำเร็จมากว่า 3 ทศวรรษ ที่หนังของเขาล้วนไปได้ดีทั้งด้านรายได้และรางวัล
4. Clerks (1994)
ผู้กำกับเควิน สมิธ ก็แจ้งเกิดจากซันแดนซ์เช่นกัน แม้เขาจะไม่มีผลงานฮิตในวงกว้าง แต่หนังของเขาอย่าง Chasing Amy (1997) , Dogma (1999) , Jersey Girl (2004) ก็มีสาวกติดตามอยู่พอสมควร , Clerks ไปวาดลวดลายในคานส์ปี 2004 กวาดรางวัล "Youth Award" และ "Merceses-Benz Award" ก่อนจะมาซันแดนซ์ ซึ่งก็คว้ารางวัล "Filmmakers Trophy" ในสาขาดรามาไปได้ และก็ยังเข้าชิงรางวัล "แกรนด์จูรีไพรซ์" ด้วย
Clerks ใช้ทุนสร้างไปเพียง 27,575 เหรียญ ถ่ายทำด้วยฟิล์มขาว-ดำ หนังทั้งหมดถ่ายทำในร้านสะดวกซื้อและร้านเช่าวีดีโอที่เควิน สมิธทำงานอยู่เอง เล่าเรื่องชีวิต 1 วัน ดันเต้ กับ แรนดัล 2เพื่อนซี้ที่ทำงานในร้านสะดวกซื้อ และร้านเช่าวีดีโอ กับบรรยากาศน่าเบื่อในการทำงานในวันหยุด ที่ต้องเจอกับลูกค้างี่เง่า ข่าวแฟนเก่ากำลังแต่งงาน แฟนคนปัจจุบันเพ้อฝันถึงประสบการณ์เซ็กส์ และลงท้ายด้วยการเล่นฮอคกี้กันบนหลังคาร้าน สุดท้ายหนังก็ถูกค่ายใหญ่อย่าง มิราแมกซ์ซื้อลิขสิทธิ์ไปฉาย ทำเงินไป 3.1 ล้านหรียญ
5. Memento (2000)
ผลงานแจ้งเกิดของคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่วันนี้ไม่น่าจะมีใครไม่รู้จักแล้วนะ ก่อนหน้า Memento โนแลน ทำหนังทุนต่ำมาก ๆ ออกมาเรื่องหนึ่งชื่อ Following เอามาเปิดตัวที่ เทศกาลหนังสแลมแดนซ์ เทศกาลลูกพี่ลูกน้องของซันแดนซ์ ที่เน้นหนักกับหนังทุนต่ำ Following ทำกำไรให้โนแลนพอประมาณที่เขานำไปต่อยอดลงทุนสร้าง Memento ขึ้นมา เอาไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเวนิซปี 2000 ได้เสียงตอบรับออกมาดี จากนั้น Memento ก็เดินหน้าฉายโชว์ทุกเทศกาลหนัง และมาจบที่ซันแดนซ์ เข้าชิงสาขา แกรนด์จูรีไพรซ์ และคว้ารางวัล วัลโด ซอลต์ ที่มอบให้กับหนังที่มีบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
หนังไปได้ดีในวงจรเทศกาลหนัง แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากสตูดิโอไหน ที่อยากจะซื้อหนังเล่าเรื่องจากหลังไปหน้าแบบนี้ เพราะคิดว่าดูยากคนดูไม่น่าจะชอบ แต่ก็ได้แรงเชียร์จากผู้กำกับสตีเวน โซเดอร์เบิร์ก อีกหนึ่งผู้กำกับที่แจ้งเกิดจากซันแดนซ์เช่นกัน ทำให้เมื่อหนังเข้าฉายแล้วก็หนังก็ฮิตได้จริงจากกระแสชื่นชมปากต่อปาก แถมยังไปได้ถึงเวทีออสการ์ เข้าประกวดในสาขา "ตัดต่อยอดเยี่ยม" และ "บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" อีกด้วย
6. Hoop Dreams (1994)
ถูกยกย่องให้เป็นสารคดีที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมา (ขนาดนั้นเชียว!) และชื่อของ สตีฟ เจมส์ ก็ถูกขนานว่าเป็นผู้กำกับสารคดีที่มากไปด้วยพรสวรรค์ หนังติดตามชีวิตของวัยรุ่น แอฟริกัน-อเมริกัน 2 คน ในระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนไฮสคูล พวกเขาไล่ตามความฝันตัวเอง จนได้ไปเป็นนักกีฬาเบสบอลมืออาชีพ , เมื่อ Hoop Dreams มาเข้าประกวดในซันแดนซ์ปี 1994 ก็เข้าชิงในสาขา "ขวัญใจผู้ชม" และ "แกรนด์จูรีไพรซ์" ซึ่ง Hoop Dreams ก็คว้ารางวัล "ขวัญใจผู้ชม" ไปได้สำเร็จ
Hoop Dreams ยังถูกบันทึกว่าเป็นสารคดีที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหตุเพราะอย่างแรกนี่คือหนังสารคดีที่ไม่ได้ถูกตลาดกับผู้ชมในมุมกว้างนัก และอย่างที่สองมันคือสารคดีที่มีความยาวถึง 171 นาที อีก 9 นาที จะ 3 ชั่วโมง ซึ่งทำการตลาดยากมาก แต่หนังก็ประสบความสำเร็จได้อย่างสูง ส่วนหนึ่งก็มาจาก โรเจอร์ อีเบิร์ต นักวิจารณ์ชื่อดังที่ออกมาชื่นชมว่า "นี่คือหนังที่ดีที่สุดในยุค90s" และในปี 2007 "สมาคมผู้สร้างสารคดีนานาชาติ" ก็ยกให้ Hoop Dreams อยู่ในอันดับที่ 1 ในรายชื่อ "สารคดีที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล"
7. The Blair Witch Project (1999)
หนังที่สร้างปรากฎการณ์มากมายในหน้าประวัติศาสตร์วงการหนัง ตัวหนังเองค่อนข้างสร้างกระแสได้มากพอตัวแล้ว ก่อนมาฉายโชว์ในซันแดนซ์ ด้วยการที่สร้างภาพออกมาในแนว "เลียนแบบสารคดี" บวกกับการปล่อยข่าวเสมือนจริงในโลกอินเตอร์เน็ตยิ่งสร้างกระแสปากต่อปาก กลายเป็นไวรัลมาร์เก็ตติ้ง ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเรื่องราวของ The Blair Witch Project เป็นเรื่องจริง ความสำเร็จทางการตลาดของ The Blair Witch Project จึงกลายเป็นตัวอย่างที่อยู่ในบทเรียนทางด้านการตลาดที่ประสบความสำเร็จ
The Blair Witch Project เป็นหนังเรื่องแรกที่ก่อให้เกิดหนังในแนวเดียวกันที่ถูกเรียกว่า "found-footage horror genre" ยังไม่มีการบัญญัตศัพท์ในภาษาไทย แต่หนังแนวนี้จะเป็นภาพจากกล้องโฮมวีดีโอ ให้ภาพแบบสั่นไหวด้วยการถ่ายแบบมือสมัครเล่น จะให้ความสมจริง เหมือนกับว่าไปเจอภาพจากในกล้องวีดีโอแล้วมาตัดต่อให้ผู้ชมดูกันบนจอหนัง แต่ผู้ชมอีกจำนวนมากก็ไม่ชอบด้วยเหตุผลเดียวกันคือ "ปวดหัว" แต่ก็ยังมีผู้สร้างจำนวนมากที่สร้างหนังแนว ๆ นี้ออกมากัน ทั้งหนังไทยและฮอลลีวู้ด จนทุกวันนี้ เหตุเพราะหนังแนวนี้ใช้ทุนสร้างต่ำ The Blair Witch Project ใช้ทุนสร้างเพียง 750,000 เหรียญ แต่ทำเงินทั่วโลกไป 248 ล้านเหรียญ เลยเป็นเหตุที่ผู้สร้างหนังยุคหลังอยากจะตามรอยความสำเร็จของ The Blair Witch Project
8. Man on Wire (2008)
หนังสารคดีก็มี ที่ประสบความสำเร็จจากเทศกาลซันแดนซ์ สารคดีจากอังกฤษผลงานของผู้กำกับ เจมส์ มาร์ช ถ่ายทำด้วยภาพแนวแอบถ่าย เล่าวีรกรรมชวนหวาดเสียวของ ฟิลิเป เปอร์ตี ในปี 1974 ด้วยการเดินบนลวดที่ขึงข้ามตึกแฝดเวิลด์เทรดเซนเตอร์ เรื่องเดียวกันกับกับที่ โรเบิร์ต เซเมกคิส สร้างออกมาเป็น The Walk (2015) , Man On Wire กวาดไป 2 รางวัล "ขวัญใจผู้ชม" และ "แกรนด์จูรีไพรซ์" ในสายประกวดหนังสารคดี ส่งผลให้หนังไปประสบความสำเร็จในตลาดหนัง กวาดรายได้ไป 5.2 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 1.9 ล้านเหรียญ ไม่พอแค่นั้น หนังยังประสบความสำเร็จสูงสุดของผู้สร้างหนัง ด้วยการคว้ารางวัล "สารคดียอดเยี่ยม" บทเวทีออสการ์อีกด้วย ไม่พอแค่นั้น หนังยังได้การรับประกันคุณภาพด้วยตัวเลข "100%" จากเว็บไซต์ Rottentomatoes.com ที่นักวิจารณ์ 151 คน เทคะแนนให้เป็นเอกฉันท์
9. El Mariachi (1992)
หนังแจ้งเกิดผู้กำกับ โรเบิร์ต รอดริเกซ หนังชนะรางวัล ขวัญใจผู้ชม ในเทศกาลซันแดนซ์ปี 1993 จุดที่สร้างเสียงฮือฮามากคือ รอดริเกซ ใช้ทุนสร้าง El Mariachi เพียง 7,000 เหรียญเท่านั้น (ราว ๆ 23x,xxx บาท) เค้าทำทุกอย่างเองเสียส่วนใหญ่ บรรดานักแสดงก็ใช้เพื่อน ๆ ของเขาเอง ด้วยทุนสร้างเพียงเท่านี้ทำให้เรื่องราวของรอดริเกซ กลายเป็นจุดสนใจ ส่งผลให้เขาตัดสินใจเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังการสร้างออกมาเป็นหนังสือ Rebel Without a Crew: Or How a 23-Year-Old Filmmaker with $7,000 Became a Hollywood Player
ความสำเร็จของ El Mariachi ทำให้บรรดาสตูดิโอในฮอลลีวุ้ดต่างอ้าแขนรับรอดริเกซ แล้วเค้าก็ได้สร้าง El Mariachi ในเวอร์ชั่นที่ทุนสูงขึ้นตามมาตรฐานฮอลลีวู้ด ในชื่อเรื่อง Desperado (1995) เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้เคยดูหนังแอ็คชั่นสุดมันส์ที่มี แอนโตนิโอ แบนเดราส และ ซัลม่า ฮาเย็ค รับบทนำเรื่องนี้ และพระเอกเดิมจากEl Mariachi เพื่อนเก่าของรอดริเกซ ก็ตามมารับบทสมทบด้วย แม้จะทุนมากขึ้นแต่รอดริเกซ ก็ยังคงนิสัยเดิมด้วยการเหมารวมหน้าที่ กำกับ , เขียนบท , ตัดต่อ และอำนวยการสร้างเองเช่นเดิม วันนี้ โรเบิร์ต รอดริเกซ ก็กลายเป็นผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวู้ดไปอีกคนหนึ่ง และมีผลงานกำกับต่อเนื่องมาแล้วทั้งซีรีส์ และภาพยนตร์ถึง 40 เรื่อง
10. Beasts of the Southern Wild (2012)
เริ่มกันด้วยหนังที่สร้างเสียงฮือฮามาก ผลงานของผู้กำกับ บีห์น ไซต์ลิน ที่เล่าแง่มุมชีวิตของชาวบ้านยากจนที่เราไม่ค่อยได้พบเห็นในหนังนัก หนูน้อย "ฮัชปัปปี้" วัย 6 ขวบ ใช้ชีวิตกับพ่อขี้เมาในเพิงซอมซ่อ หมู่บ้านของเธออยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในรัฐหลุยเซียน่า หนังเล่าชีวิตที่น่าเห็นใจของฮัชปัปปี้ที่นอกจากจะต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตเองในวัยเพียงเท่านี้ ซ้ำยังต้องเจอกับพ่อใจร้ายแล้วโชคชะตายังตอกย้ำให้ต้องเจอกับสถานการณ์พายุเข้า น้ำจากเขื่อนทะลักท่วมเกาะ ฮัชปัปปี้ตกระหกระเหเร่ร่อนอาศัยบนเรือบ้างบนต้นไม้บ้าง หนังนำเสนอทั้งชีวิตของฮัชปัปปี้และชีวิตของชาวบ้านที่เผชิญมรสุมผ่านสายตาของหนูน้อย , ควาเวนซาเน วอลลิส เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ถูกคัดเลือกมาจากเด็กวัยเดียวกันจำนวน 35,000 คน แล้วเธอก็สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ชมได้ทึ่งกับความสามารถทางการแสดงของเธอ รวมไปถึงประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า ที่ออกปากชื่นชม Beasts of the Southern Wild ออกสู่สาธารณะชน ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จไปไกลมาก ถ้ามองจากจุดเริ่มต้นในเทศกาลซันแดนซ์
หนังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้งด้านรายได้และรางวัล หนังใช้ทุนสร้าง 1.8 ล้านเหรียญ ทำเงินไป 21 ล้านเหรียญ และไปไกลเกินคาดเมื่อหนังเข้าชิงรางวัลใหญ่ ๆ บนเวทีออสการ์ปี 2013 ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , ผู้กำกับยอดเยี่ยม , บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่บนเวทีออสการ์กับสถิตินักแสดงนำหญิงที่เข้าชิง "นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม" ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ออสการ์ ด้วยวัยเพียง 6 ปีของ ของ ควาเนซาเน วอลลิส