ลึกแต่ไม่ลับ 11 เรื่องเบื้องหลัง จิม โสภณ ผู้กำกับ "เพื่อน...ที่ระลึก"

Movie News4 กันยายน 2560

"เพื่อน...ที่ระลึก"
                มาเร็วมาแรงกันทีเดียวสำหรับ จิม โสภณ ศักดาพิศิษฏ์ ผู้กำกับที่แจ้งเกิดไปกับ "โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต" และมาดังแบบพลุแตกกับ "ลัดดาแลนด์" และกำลังจะมีผลงานล่าสุดกำลังจะเข้าโรงอย่าง "เพื่อน...ที่ระลึก" ที่ลงทุนไปถ่ายทำที่ตึกร้างที่เป็นเสมือนแลนด์มาร์คของย่านสาทรไปแล้ว แต่ใครจะรู้เล่าว่าเบื้องหลังของจิมนั้นต้องผ่านอะไร และมีความคิดอะไรบ้างในโอกาสต้อนรับการมาของ "เพื่อน...ที่ระลึก" ให้เรามาดูกันเลยดีกว่า

1. จิม จบปริญญาตรี สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน วิทยุและโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2. ใครจะรู้บ้างว่าความใฝ่ฝันหรือแรงบันดาลใจแรกเริ่มของจิมนั้น ไม่ได้อยากเป็นผู้กำกับหนังแต่อย่างใด แต่มาจากการอ่านการ์ตูนเรื่อง "Super Doctor K" ทำให้เขามีแรงบันดาลใจแรกที่อยากจะเป็นหมอ แต่เนื่องจากผลการเรียนที่ไม่เป็นใจ หมดสิทธิ์เรียนในสายวิทย์-คณิต ทำให้เขาต้องมาเลือกเรียนในสายศิลป์-คำนวณแทน

3. แต่จากการเรียนในสายศิลป์-คำนวณนี่เอง ที่ทำให้เขาค้นพบตัวตนของเขาที่สนใจมากกว่า คือการเรียนในสาขานิเทศศาสตร์ ทำให้เขาทุ่มเทและผลักดันตัวเองจนได้เข้าเรียนคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสาขาวิชาการสื่อสารมวลชน วิทยุและโทรทัศน์

4. ช่วงที่จิมเข้าเรียนในคณะนิเทศนั้นถือได้ว่าเป็นยุคมืดของวงการหนังไทย แต่ต้องบอกว่าฟ้าเป็นใจเมื่อจิมกลับได้มีโอกาสทำหนังเพื่อนฉายในกิจกรรมมรับน้องทุกปี และเข้าร่วมการประกวดทำหนังสั้นในทุกงานที่สามารถทำได้ ทำให้ผลงานไปเตะตา 2 คู่หูผู้กำกับสุดหลอน-ฮา แห่ง GTH อย่าง โต้ง บรรจง และ โอ๋ ภาคภูมิ ซึ่งในตอนนั้นกำลังเริ่มเขียนบทเรื่อง "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" อยู่พอดิบพอดี จึงได้ลากจิมเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในทีมเขียนบท และเป็นก้าวแรกของเขาในวงการหนังไทยอย่างเต็มตัว

5. เมื่อตอนที่จิมเขียนบทหนังเรื่องแรกให้กับ GTH นั้นเขายังคงเป็นนิสิตปีที่ 4 แต่กลับเป็นการร่วมเขียนบทที่ประสบความสำเร็จมาก เมื่อ "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" นั้นได้รับคำชื่นชมทั้งกระแสคำวิจารณ์และรายได้อย่างมากมาย ทำให้หลังจากเรียนจบเขาจึงได้เปิดโปรดักชั่น เฮาส์ เพื่อทำรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับหนังสั้น และได้เข้ามาร่วมงานกับ GTH ในฐานะคนทำหนังรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างจริงจัง ซึ่งด้วยฝีมือที่โดดเด่นคุณภาพคับแก้วนี่เองที่ทำให้เขามาสู่การเป็นผู้กำกับหนังอย่างเต็มตัวกับผลงานเรื่องแรก "โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต" ที่ทำให้เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่หน้าจับตามองของวงการคนหนึ่ง

6. แต่ทุก ๆ ความสำเร็จก็ย่อมซ่อนไว้ด้วยคราบน้ำตา เบื้องหลังความสำเร็จเรื่องแรกของจิมนั้น ด้วยความเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ เขาต้องเผชิญปัญหาจากการสื่อสารกับทีมงานในกองถ่าย ซึ่งปัญหาหนักเสียจนเขา "ถูกถอด" จากการเป็นผู้กำกับหนังตอนหนึ่งในเรื่อง "5แพร่ง" ซึ่งส่งผลให้เขาต้องกลับไปเริ่มต้นเป็นนักศึกษาฝึกงาน และใช้เวลาอยู่เป็นปีในการเริ่มต้นใหม่ ต้องเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดกับกองถ่ายหนัง เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้มีโอกาสติดตามบอสใหญ่อย่าง "เก้ง จิระ มะลิกุล" และ "วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์" ผู้อำนวยการสร้างไปทำเวิร์คช้อปให้กับนักศึกษาที่เชียงใหม่ แล้วไปได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับลัดดาแลนด์ ซึ่งเป็นตำนานเรื่องเล่าที่โด่งดังมากที่เชียงใหม่ เลยไปรีเสิร์ชข้อมูลจากสถานที่จริง และในอินเตอร์เน็ต เลยทำให้รู้ว่าจริงๆ แล้ว ลัดดาแลนด์ ไม่ใช่หมู่บ้าน แต่เป็นสวนดอกไม้ และสวนสนุก ประกอบกับจิมมีไอเดียเกี่ยวกับอาถรรพ์ผีในหมู่บ้านจัดสรรมาประกอบกัน และพัฒนาเป็นบทหนัง จนนำมาสู่การสร้าง "ลัดดาแลนด์" ผลงานสร้างชื่อสุดปังให้กับเขาได้ในที่สุด

7. นอกจาก "ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ" แล้ว จิมยังช่วยเขียนบททั้ง "แฝด" "สี่แพร่ง" "ห้าแพร่ง" "ฝากเอาไว้ในกายเธอ" รวมถึงหนังที่เขากำกับเองทั้งหมดด้วย

8. จิมบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะต้องแต่ทำหนังผีตลอด แต่เนื่องมาจากตัวเขานั้นชอบดูหนังผี และโตมากับหนังผี ทำให้ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากหนังผี (รวมทั้งเป็นคนที่กลัวผีมาก) จึงทำให้เขาสามารถคิดมุกหนังผีได้เยอะกว่าคนอื่น

9. ถึงแม้จิมจะทำมาแต่หนังผี แต่หนังผีในแบบของเขาก็ไม่สักแต่ว่าจะส่งผีโผล่ออกมาหลอกหลอนคนดูเพียงอย่างเดียว ในลัดดาแลนด์เขาแทรกปมปัญหาครอบครัวเอาไว้ได้อย่างลงตัว พอมาถึงเรื่อง "ฝากไว้ในกายเธอ" เขาก็สะท้อนปัญหาวัยรุ่นลงไปอีก และล่าสุดกับ “เพื่อน...ที่ระลึก” กับประเด็นปัญหาเศรษฐกิจในปี 40 รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับคำสัญญาณต่อเพื่อน

10. จิมมีความเห็นว่า หนังไทยมีหลากหลายแนว แต่ด้วยคนไทยเป็นคนสบายๆ ทำให้หนังผี หนังตลก และหนังรักมีผลตอบรับที่ดีกว่าหนังประเภทอื่น (ทำแล้วได้ตังค์มากกว่า) ทำให้มีฐานคนดูที่กว้างที่สุด จิมให้สัมภาษณ์ว่าหนังสามแนวนี้ไม่ใช่หนังที่ไม่ดี  แต่คำถามคือจะทำยังไงให้มันออกมาดี ซึ่งสุดท้ายก็อยู่ที่มุมมองของคนอยู่ดี จิมเลยเลือกที่จะเล่าเรื่องปัญหาครอบครัวผ่านความบันเทิงในรูปแบบผีๆ

11. แนวคิดของจิมจากข้อ "9"  เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “หนังที่มีสาระก็คือก็เหมือนผัก มันมีประโยชน์ แต่จะบังคับให้คนกินผักมันยาก เราก็เอามาประกบบนขนมปังใส่เนื้อบดเข้าไปกลายเป็นเบอร์เกอร์ ให้คนดูได้ประโยชน์จากการที่ไม่ต้องฝืนกินผัก ไม่ต้องฝืนดูหนังเครียด ๆ หนังผี หนังรัก หนังตลกก็มีสาระได้ไม่แพ้กัน อยู่ที่ว่าเราจะเล่าแบบไหน ผมกลับเชื่อว่าการใช้สื่อหนังบันเทิงในการบอกเล่าเรื่องมีสาระ คนดูจะรับมากกว่าการตั้งเป้าว่าจะต้องมาสอนเขา ด้วยความที่ผมโตมากับการดูหนังบันเทิง ผมเกิดการเรียนรู้ได้จากการดูหนังบันเทิง และเวลาเราเจอแง่คิดในหนังบันเทิงเราจะจำมากกว่าด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่เราคิดได้เอง เราค้นพบมันท่ามกลางความสนุกตรงนั้น ทำให้ผมชอบทำหนังแนวแมส"

 

รู้จักกันมากขึ้นแล้วใช่ไหมครับกับชีวิตและเบื้องหลังของ จิม โสภณ ว่าชีวิตและผลงานของเขาแม้จะมีน้อยแต่ก็ไม่ธรรมดาเลย และอย่าลืมติดตามและเข้าไปอุดหนุน "เพื่อน...ที่ระลึก" กันด้วยนะครับ 7 กันยายน 2017 นี้ ทุกโรงภาพยนตร์

 

ต้วอย่างภาพยนตร์ที่ 2