อ่านเรื่องจริงเบื้องหลังหนัง Adrift
แทมี โอลด์แฮม และ ริชาร์ด ชาร์ป ตัวจริง
Adrift หรือในชื่อไทย "รักเธอฝ่าเฮอร์ริเคน" อีกหนึ่งหนังที่สร้างจากเรื่องจริง ว่าด้วยเรื่องของ แทมี และ ริชาร์ด คู่รักล่องเรือออกมหาสมุทรด้วยกันสองต่อสอง แต่แล้วก็ต้องเผชิญกับพายุเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ ผลคือเรือเสียหาย ริชาร์ดได้รับบาดเจ็บสาหัส เหลือเพียงแทมีที่ต้องใช้พลังใจพลังกายที่จะประคับประคองชีวิตคนรักและตัวเธอเองให้รอดชีวิตจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หนังดัดแปลงจากหนังสือที่แทมีเขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น และกำกับโดย บัลธาซาร์ คอร์มาเคอร์ ผู้กำกับที่เชื่อมือได้ ดูจากผลงานที่ผ่านมา Contraband (2012) , 2 Guns (2013) รับบทนำโดย ไชลีน วูดลีย์ จาก Divergent และ แซม คลาฟลิน จาก Me Before You ตามสไตล์หนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เมื่อมาถึงขั้นตอนบทภาพยนตร์มักจะตัดทอนหรือเติมเสริมแต่งเรื่องราวให้ได้รสชาติถูกใจคนดู เรามาดูซิว่า Adrift จะยังคงเรื่องราวตามจริงหรือว่าบิดเบือนไปเพียงใด
เหตุการณ์จริงเกิดขึ้นเมื่อใด?
แทมี โอลด์แฮม ขวาสุด กับ 2 นักแสดงนำ
เหตุการณ์จริงเกิดขึ้นในช่วงเดือน กันยายน ถึง พฤศจิกายน ปี 1983 แทมี โอลด์แฮม วัย 23 ปี และ คู่หมั้นชาวอังกฤษของเธอ ริชาร์ด ชาร์ป วัย 34 ปี ทั้งคู่มีความสุขกับการล่องเรือ เดอะ มายาลูกา เรือขนาด 36 ฟุตของทั้งคู่ , 6 เดือนต่อมาทั้งคู่ได้รับมอบหมายงาน ให้ไปส่งมอบ เดอะ ฮาซานา เรือยอชต์ ความยาว 44 ฟุต ต้องล่องจาก ตาฮิติ ไปส่งให้กับเจ้าของใหม่ที่ซานดิเอโก พวกเขาต้องเดินทางถึง 4,000 ไมล์ ในระยะเวลา 3 สัปดาห์ แต่แล้วก็เผชิญกับการโจมตีของพายุเรย์มอนด์ทำให้เรือได้รับความเสียหายหนัก
ทำไมทั้งคู่ถึงเจอเฮอร์ริเคน?
มันน่าสงสัยที่ว่าเฮอร์ริเคนลูกใหญ่ระดับประวัติศาสตร์แบบนี้เคลื่อนตัวเข้ามาทิศทางที่ทั้งคู่เดินเรือ ในขณะที่ทั้งคู่ที่เป็นนักเดินเรือจะไม่รู้เชียวเหรอ คำตอบคือทั้งคู่รู้ครับ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นพายุที่รุนแรงขนาดนี้ กลายเป็นว่า "เรย์มอนด์" ขยับตัวเองขึ้นเป็นเฮอร์ริเคนระดับ 4 และเปลี่ยนทิศทางมาหาเรือ เดอะ ฮาซานา อย่างกะทันหัน ทั้งคู่พยายามเปลี่ยนทิศทางหนีแล้วแต่ไม่พ้น ทำให้ต้องเผชิญกับคลื่นที่สูงถึง 40 ฟุต แล้วต้องแล่นเรือสวนกับความเร็วลมที่ 140 น็อต
ผลสุดท้ายริชาร์ด ชาร์ป รอดหรือไม่?
คำตอบคือ "ไม่" ทั้งคู่เจอเฮอร์ริเคน"เรย์มอนด์" ในวันที่ 12 ตุลาคม 1983 ขณะที่แล่นเรือฝ่าพายุ ริชาร์ดขอให้ แทมีลงไปพักผ่อนในเคบิน ส่วนตัวเขาใช้เชือกล่ามตัวเองไว้กับลำเรือ พยายามแล่นเรือฝ่าพายุไปให้ได้ แต่แล้วเรือก็ล้มพลิก แรงเหวี่ยงทำให้ตัวแทมีกระแทกผนังเรือ หัวของเธอโดนกระแทกทำให้สลบไปถึง 27 ชั่วโมง เมื่อเธอฟื้นขึ้นก็รีบมาตามหาริชาร์ดบนดาดฟ้าเรือ เธอพบเชือกนิรภัยที่ริชาร์ดเคยล่ามตัวเองไว้ ห้อยอยู่ด้านข้างเรือ แต่ริชาร์ดหายสาบสูญไป แล้วเธอก็ไม่ได้พบกับริชาร์ดอีกเลยนับจากนั้น แต่ในหนังนั้นเลือกจะเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไป หลังจากแทมีฟื้นจากสลบ เธอหาริชาร์ดไม่พบ เธอเริ่มขวัญเสีย แต่เมื่อเรือเริ่มลอยลำไปได้สักระยะหนึ่ง เธอก็มองเห็นร่างริชาร์ดสลบสไลเกาะเรือชูชีพลอยตัวอยู่ไกล แทมีว่ายน้ำไปช่วยริชาร์ด นำเขาขึ้นเรือแล้วก็พบว่าริชาร์ดบาดเจ็บที่ชายโครง และขาขวาแตกเป็นแผลฉกรรจ์ เมื่อริชาร์ดได้สติเขาก็รู้สึกแย่ที่ต้องกลายเป็นภาระให้แทมีดูแล แต่ก็ยังคงให้กำลังใจเธอว่าจะต้องพาเรือเข้าสู่ฝั่งได้สำเร็จ
แทมีได้ยินเสียงแว่วระหว่างที่ลอยเรืออยู่อย่างโดดเดี่ยว
แทมีเขียนเล่าเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ Red Sky in Mourning: A True Story of Love, Loss, and Survival at Sea ว่าเธอได้ยินเสียงแว่วมาไกลๆ อยู่ 3 ครั้ง แต่เธอยืนยันว่าไม่ใช่เสียง ริชาร์ด ชาร์ป เธอก็ยอมรับว่าเป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากเหตุที่ศีรษะเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรง และเสียเลือดมากด้วย หรือไม่ก็เป็นเสียงที่พระเจ้าตั้งใจส่งหาเธอ "เพราะขณะนั้น ฉันต้องการที่พึ่งในการนำทางอย่างมาก แล้วเสียงนั้นก็แว่วมา มันเป็นปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อจริงๆ ฉันได้ยินเสียงนั้นถึงสามครั้ง ฉันก็ภาวนาขอให้เสียงนั้นกลับมาอีก แต่ก็ไม่เคยได้ยินอีกเลย แต่เสียงนั้นก็ทำให้ฉันได้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันแค่ตามเสียงนั้นไป"
เรือเดอะ ฮาซานา เสียหายแบบที่เห็นในหนังใช่หรือไม่?
ภาพบนคือเรือจริง ภาพล่างคือเรือในหนัง
"ใช่" ทีมผู้สร้างพยายามถ่ายทอดความเสียหายของเดอะฮาซานา ออกมาให้ใกล้เคียงเรือจริงมากที่สุด เรือแตกหักและสิ่งปรักหักพังก็กระจัดกระจายไปทั่วลำเรือ เสากระโดงหัก น้ำเข้าไปขังอยู่ในเคบิน ข้าวของลอยไปมา เครื่องยนต์พัง วิทยุสื่อสารใช้การไม่ได้ ตัวส่งสัญญาณระบุตำแหน่งเรือก็เสียหาย แม้แต่อุปกรณ์นำร่องก็เสียเช่นกัน
41 วันบนเรือ เธอกินอะไร?
ในปี 2003 แทมี โอลด์แฮม เล่าไว้ใน หนังสือพิมพ์ ชิคาโก้ ทริบูน ว่าเธอกินอาหารกระป๋อง เนยถั่ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่หลงเรืออยูบนเรือ ทั้งฟรุ้ตค็อกเทล และ ปลาซาร์ดีน
แทมีหาทางเข้าสู่ฝั่งได้อย่างไร?
หลังจากโดนพายุถล่ม ระบบนำร่องก็เสียหาย เธอจึงพยายามใช้ "Sextant"(เครื่องวัดระยะทางเป็นมุมของดวงดาวในท้องฟ้าเพื่อหาเส้นรุ้งและเส้นแวงเป็นเครื่องวัดมุมที่มีแขนโค้งยาวหนึ่งในหกของวงกลม) "มันช่วยชีวิตฉันไว้" แทมีกล่าว ด้วยอุปกรณ์นี้ทำให้เธอระบุตำแหน่งตัวเธอเองบนแผนที่เดินเรือได้ ทุกวันนี้แทมีห้อยเครื่องประดับเป็นรูป Sextant ขนาดเล็กประดับด้วยเพชร เพื่อเป็นเครื่องเตือนความจำถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ความยากเย็นไม่ได้มีเพียงแค่การหาเส้นทางเดินเรือที่พาเธอเข้าสู่แผ่นดิน แต่ความยากลำบากจริง ๆ คือการต้องประคับประคองเรือที่เสียหายให้ลอยลำและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ เธอต้องคอยปั๊มน้ำออกจากเคบิน เธอต้องสร้างใบเรือขึ้นมาใหม่ จากชิ้นส่วนใบเรือเก่าที่ขาด และเสากระโดงที่หัก แล้วสุดท้ายมันก็สามารถพาเธอเข้าสู่ฝั่งได้สำเร็จ
แทมีเย็บแผลที่ศีรษะเองจริงๆ หรือ?
"ไม่จริง" ในหนังมีฉากหนึ่งที่แทมีส่องกระจกแล้วใช้เข็มเย็บแผลด้วยตัวเอง เธอเล่าไว้ในหนังสือว่า เธอพยายามเช่นกันที่จะเย็บแผลด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จ เธอจึงกดปากแผลเข้าหากันแล้วใช้พลาสเตอร์ยาหลายๆ แผ่นยึดปากแผลไว้ เลือดและหนองก็ซึมออกมา แผลนี้รุนแรงกว่าที่เราเห็นในหนังมาก และมันมีผลกระทบต่อสายตาของแทมี จากเหตุการณ์นั้นทำให้เธอไม่สามารถอ่านหนังสือไปได้อีก 6 ปี ทุกครั้งที่เธอพยายามเพ่งมอง ตัวหนังสือก็จะลอยออกมาจากหน้ากระดาษ
แทมีเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายไหม?
หลายครั้งเลยล่ะ เพราะตลอด 41 วันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง บาดเจ็บ หิวโหย ท้อแท้ และหลายๆ ครั้งเธอก็ผิดหวัง เพราะคิดว่ามองเห็นแผ่นดินที่เส้นขอบฟ้า แต่เมื่อลอยลำไปใกล้ก็หายไป หลายครั้งที่เธอตัดสินใจหยิบปืนไรเฟิลที่อยู่บนเรือแล้วก็อมปากกระบอกปืนไว้ในปาก แต่เสียงที่แว่วมาก็บอกให้เธอสู้ต่อไป เรื่องราวส่วนนี้ไม่ถูกใส่ไว้ในหนัง
แทมีล่องเรืออย่างโดดเดี่ยวเป็นระยะทางแค่ไหน?
"1,500 ไมล์" กว่าจะถึง ไฮโล , ฮาวาย ภาพขณะที่เธอเข้าฝั่งถูกบรรยายไว้ในหนังได้ตรงตามเหตุการณ์จริง ก่อนจะเข้าถึงฝั่ง เธอมองเห็นเรือลำใหญ่ จึงยิงพลุสัญญาณหลายนัดขอความช่วยเหลือ เรือใหญ่ลอยลำมาเทียบเดอะฮาซานา แล้วส่งกาแฟและอาหารให้เธอ ลูกเรือบางคนโยนแอปเปิ้ลมาให้เธอ เรือใหญ่ลากเรือเธอเข้าสู่แนวชายฝั่ง แล้วยามชายฝั่งก็รับช่วงในการดูแลเธอต่อไป นาทีที่เธอได้กลับมาเหยียบแผ่นดินอีกครั้ง เธอก็ร่ำไห้ออกมาด้วยความดีใจ
แทมีกลับไปล่องเรืออีกหรือไม่?
แทมี โอลด์แฮม ในปัจจุบัน
กลับไปแน่นอน เธอรักการล่องเรือมาก แม้จะผ่านเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวมา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความพิสมัยในการเดินเรือของเธอได้ เธอล่องเรือต่อไปจนได้ใบอนุญาตในฐานะกัปตันที่สามารถล่องเรือสินค้าขนาด 100 ตันและสามารถเดินเรือจากชายฝั่งในระยะ 5,000 ไมล์ได้
หลังกลับมาอยู่บ้านได้ แทมียังต้องประสบกับภาวะโศกเศร้าและฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเธอถึง 8 ปี เธอเป็นโรค post-traumatic stress syndrome หรือ "ภาวะเครียดหลังเจอประสบเหตุการณ์สะเทือนใจ. แต่เธอก็ไม่เคยเข้าพบจิตแพทย์หรือได้รับคำปรึกษาแต่อย่างใด หลังแทมี ผ่านพ้นภาวะนี้มาได้ และเธอสามารถอ่านและเขียนหนังสือได้ เธอจึงเริ่มต้นบันทึกเรื่องราวออกมาเป็นหนังสือ "Red Sky in Mourning" ที่กลายมาเป็นหนัง "Adrift" หนังสือถูกตีพิมพ์ในปี 1998 แล้วจากนั้น ไฮพีเรียน สำนักพิมพ์ใหญ่ก็รับหน้าที่จัดจำหน่ายอย่างแพร่หลายในปี 2002
แทมีแต่งงานไหม?
แต่ง ใน 10 ปีให้หลังเหตุการณ์ร้ายครั้งนั้น เธอพบรักครั้งใหม่ในงานเต้นรำ และแต่งงานในปี 1994 เธอมีลูก 2 คน ครอบครัวเธออาศัยอยู่บนเกาะ ซาน ฮวน , วอชิงตัน แล้วเธอก็ต้องพบเหตุการณ์เศร้าอีกครั้ง เมื่อเคลลี แอชคราฟต์ ลูกสาววัย 22 ของเธอต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุได้รับแก๊ซคาร์บอน มอนน็อกไซด์เกินขนาด
ตัวอย่างภาพยนตร์