ชีวิตจริง ยิ่งกว่านิยายของเพียร์ซ บรอสแนน
นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวไอริช ที่ทั่วโลกรู้จักเขาในฐานะดาราผู้สวมบทเจมส์ บอนด์ คนที่ 4 และเคยมาถ่ายทำหนังในบ้านเราด้วย จากภายนอกเรามองเห็นเพียร์ซ ในฐานะดาราระดับโลกผู้มีผลงานมากมายอย่างต่อเนื่องแม้ในปัจจุบัน ดูชีวิตสุขสบายสวยหรู แต่หารู้ไม่ชีวิตของเพียร์ซ เผชิญอุปสรรคต่างๆ นานา มาตั้งแต่เกิด ชีวิตเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบต่อสู้ชีวิตมาตลอดกว่าจะประสบความสำเร็จ และแม้ในช่วงชีวิตที่ครอบครัวมีความสุขก็ไม่ได้ยั่งยืน ต้องเจอเรื่องราวแสนเศร้าเหมือนกลั่นแกล้งชีวิตเขา ถือว่าเป็นดาราที่เบื้องหน้าประสบความสำเร็จ แต่กับชีวิตส่วนตัวนี่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ มาอ่านเรื่องชีวิตจริงยิ่งกว่านิยายของเพียร์ซกันครับ
1. ลำบากตั้งแต่เกิด
เบื้องหน้าบ้างคนอาจจะคิดว่าเขาเป็นดาราชาวอังกฤษ บางคนที่รู้จักเขาในนามเจมส์ บอนด์ ก็อาจจะคิดว่าเขาเป็นชาวอเมริกันด้วยซ้ำ เพราะเป็นดาราฮอลลีวู้ด แต่แท้จริงแล้ว เพียร์ซเป็นชาวไอริชโดยกำเนิด และเป็นชาวไอริสที่ภาคภูมิใจในรากเหง้าตัวเองด้วย ผลงานล่าสุดใน The Foreigner เพียร์ซ ก็รับบทเป็นชาวไอริชเช่นกัน เพียร์ซเกิดในเมืองเล็กๆ ชื่อนาวาน พ่อเป็นช่างไม้ชื่อ โธมัส บรอสแนน ส่วนคุณแม่เมย์ก็เป็นแม่บ้าน พ่อใจร้ายมากทิ้งเค้าไปตั้งแต่ยังเป็นทารก แม่ต้องเลี้ยงเพียร์ซด้วยตัวเอง จนกระทั่งเขาอายุได้ 4 ขวบ แม่เมย์ก็ได้งานเป็นพยาบาลในลอนดอน แต่ฝากเพียร์ซไว้กับคุณตาคุณยาย อยู่ได้ไม่นานตากับยายก็ตาย น้ามารับเลี้ยงต่อแล้วก็ส่งต่อให้ลุง แม่เมย์ก็แวะมาเยี่ยมเขาปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น
2. ชีวิตไอริชในลอนดอน
ปี 1964 เพียร์ซ ออกจากไอร์แลนด์เมืออายุ 11 ขวบ เขาได้ย้ายไปอยู่กับแม่ และวิลเลียม สามีใหม่ของแม่ ในหมู่บ้านของชาวสก็อตซ์ในย่านโลเธียนตะวันออก ที่นี่เองที่วิลเลียมพาเขาไปดู Goldfinger ได้เห็นฌอน คอนเนอรี่ในมาดเจมส์ บอนด์ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ดูหนังเจมส์ บอนด์ จากนั้นไม่นานแม่ก็พาเพียร์ซย้ายมาอยู่ในลอนดอน ที่นี่เขาได้เข้าเรียนกับเด็กๆ ชาวอังกฤษครั้งแรกในชีวิต เพียร์ซเล่าว่าชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาก จากที่เคยเรียนในไอริชที่เป็นโรงเรียนเล็กๆ มีแค่ 7 ห้องเรียน แล้วต้องมาเข้าเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่มาก ที่มีนักเรียนถึง 2,000 คน และเมื่อเด็กๆ ชาวอังกฤษรู้ว่าเขาเป็นเด็กไอริชก็จะถูกแบ่งแยกกีดกันอย่างมาก ในโรงเรียนเขาได้ฉายานามว่า "ไอริช"
3. สารพัดอาชีพ
หลังจบมัธยมเมื่ออายุได้ 16 ปี เพียร์ซ ตัดสินใจเบี่ยงเส้นทางไปสู่สายอาชีพ เขาเข้าเรียนจิตกรรมในโรงเรียนศิลปะเซนต์มาร์ติน ที่นี่ได้ส่งเขาไปฝึกงานจริงในโอวอลเฮาส์ โรงละครเล็กๆ เก่าแก่ในลอนดอน ที่นี่เขาได้คลุกคลีกับพวกคณะละครสัตว์ มีนักกายกรรมพ่นไฟสอนเทคนิกการพ่นไฟให้กับเขา ทางคณะเห็นหน่วยก้านและฝีมือของเพียร์ซดูมีแววดีเลยจ้างเขาอยู่แสดงกับคณะถึง 3 ปี ภายหลังเพียร์ซ ได้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนสอนศิลปะการแสดงแห่งลอนดอน นับเป็นก้าวแรกที่เพียร์ซตัดสินใจว่าจะก้าวเข้าสู่โลกของการแสดง เขาเล่าว่ารู้สึกเหมือนกับการปฏิวัติชีวิต ได้ก้าวเข้าสู่โลกใหม่หนีห่างจากโลกเดิมที่เขาเคยเผชิญมา และรู้สึกว่าชอบการแสดง และมั่นใจว่าเขาจะทำมันได้ดี
4. ได้พบพ่อครั้งแรกในชีวิต
เพียร์ซ บรอสแนน และพ่อแม่
ตอนที่แสดง Remington Steele
ช่วงที่ถ่ายทำทีวีซีรีส์ Remington Steele มีตอนหนึ่งต้องไปถ่ายทำในไอร์แลนด์ เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบพ่อ ตั้งแต่พ่อทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก วันนั้นพ่อเข้ามาหาเพียร์ซที่โรงแรม พ่อในภาพที่ไม่เหมือนกับที่เขาคาดฝันไว้ว่าจะต้องเป็นชายที่สูงโปร่งเหมือนเขา แต่กลับเป็นชายที่ตัวขนาดกลางๆ ผมสีเงินหวีเสยไปข้างหลัง ดวงตาแข็งกร้าว พูดจาติดสำเนียงเคอร์รี่ (เมืองหนึ่งในไอร์แลนด์) เพียร์ซรู้สึกเสียดายที่การพบกันครั้งนั้นอยู่ในที่สาธารณะ เขาอยากจะได้มีโอกาสพบพ่อเป็นการส่วนตัวกว่านี้ เพราะมีเรื่องราวอีกมากที่อยากคุยกับพ่อ
5. เส้นทางสู่เจมส์ บอนด์ ที่ไม่ได้ราบรื่น
เพียร์ซจบจากโรงเรียนการแสดงในปี 1975 เริ่มงานด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการเวทีในโรงละครยอร์ค ได้เริ่มมีบทเล็กๆ ในละครเวทีหลายต่อหลายเรื่อง จนถึงปี 1980 เริ่มก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ได้เป็นตัวประกอบในหนังอังกฤษ The Long Good Friday (1980) และ The Mirror Crack'd (1980) โดดมาเล่นทีวีซีรีส์อีก 2 เรื่อง The Professionals, Murphy's Stroke และ Play for Today ปี 1981 ได้รับบทนำในมินิซีรีส์ของสหรัฐ The Manions of America และเริ่มเป็นที่รู้จัก และต่อด้วย Nancy Astor มินิซีรีส์ของอังกฤษ ที่ส่งให้เขาได้เข้าชิงลูกโลกทองคำในบทสมทบชาย ก้าวสำคัญของเพียร์ซมาถึงในปี 1982 เมื่อเขาได้รับบทพระเอกใน Remington Steele ซีรีส์แนวสายลับ ซีรีส์ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้ออนแอร์ต่อเนื่องถึง 5 ซีซัน เพียร์ซ กลายเป็นดารามีชื่อเสียง มีงานแสดงภาพยนตร์สลับกับซีรีส์หลายเรื่อง พอดีกับที่สถานี NBC ยกเลิกสร้างซีรีส์ Remington Steele
ในปี 1987 แคสซานดร้า แฮร์ริส ภรรยาของเพียร์ซ เคยร่วมแสดงใน For Your Eyes Only หนังเจมส์ บอนด์ ปี 1981 ได้พาเพียร์ซเข้าไปพบกับ อัลเบิร์ต อาร์ บรอคโคลี่ เจ้าของลิขสิทธิ์หนัง เจมส์ บอนด์ ภาพลักษณ์ของเพียร์ซ เข้าตาอัลเบิร์ต อย่างมาก และต้องการเขาเป็นเจมส์ บอนด์ ต่อจากโรเจอร์ มัวร์ "ถ้าเขาแสดงได้ เขาคือเจมส์ บอนด์ของผม" อัลเบิร์ตกล่าว โอกาสมาแต่ความเคราะห์ก็มากั้น เมื่อคนดูเรียกร้องให้สร้างตอนต่อของ Remington steele แล้วเพียร์ซมีสัญญาค้างคาอยู่กับ NBC จึงต้องกลับไปเล่น ทางอัลเบิร์ต จึงยกเลิกสัญญาเจมส์ บอนด์ กับเพียร์ซ และให้ทิโมธิ ดัลตัน เป็นเจมส์ บอนด์ คนต่อไป ปี 1991 เกิดกรณีฟ้องร้องกันระหว่างสตูดิโอผู้สร้างและผู้ถือลิขสิทธิ์เจมส์ บอนด์ ปัญหายืดเยื้ออยู่หลายปี มาคลี่คลายในปี 1994 ทิโมธิ ดาลตัน ประกาศไม่ขอกลับมาเป็นบอนด์ ครั้งที่ 3 แล้ว โอกาสกลับมาหาเพียร์ซีอีกครั้ง เขาได้รับการประกาศว่าเป็นเจมส์ บอนด์ คนที่ 5 เขาต้องรอโอกาสรอบสองวนมาหาเขาถึง
6. เมื่อคู่ชีวิตต้องมาด่วนจากไป
เพียร์ซ พบกับแคสซานดร้า แฮร์ริส ภรรยาคนแรกในปี 1977 คาสซานดร้า เป็นดาราสาวชาวออสเตรเลีย เพียร์ซ พบเธอตอนช่วงที่เขาเพิ่งจบจากโรงเรียนการแสดง เพียร์ซเล่าว่าเขาตะลึงในความสวยของเธอ "เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ผมไม่คาดคิดหรอกว่านี่จะเป็นผู้หญิงที่ผมจะได้ใช้ชีวิตข้างหน้าอีก 14 ปีกับเธอ ผมไม่กล้าเข้าไปจีบเธอ ไม่แม้แต่คิดจะจีบเธอด้วยซ้ำ ผมเพียงแต่อยากจะชื่นชมความงามของเธอและศึกษาเธอ" แต่ไม่นานจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มคบหากัน แล้วก็เริ่มซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน เพียร์ซและแคสซานดร้าตกลงแต่งงานกันในปี 1980 และมีลูกชายด้วยกันคือ ฌอน ขณะที่แคสซานดร้ามีลูกติดจากสามีเก่ามาด้วย 2 คน คือ ชาร์ลอต และ คริส ซึ่งเพียร์ซ ก็รับผิดชอบดูแลเหมือนเป็นลูกตัวเอง ปี 1986 สามีเก่าของแคสซานดร้าตาย ทั้งชาร์ลอต และ คริส ก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลบรอสแนน
สถานะของทั้งคู่เริ่มดีขึ้นเมื่อแคสซานดร้าได้ไปเล่นหนังเจมส์ บอนด์ For Your Eyes Only (1981) ส่วน เพียร์ซ ก็ได้เล่นซีรีส์ Remington Steele ทำให้ทั้งคู่มีเงินซื้อบ้านในแคลิฟอร์เนีย แต่ความสุขอยู่กับทั้งคู่ไม่นานนัก ปี1987 แคสซานดร้า ล้มป่วย แพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นมะเร็งรังไข่ และเสียชีวิตในปี 1991 "ระหว่างที่อยู่ในขั้นตอนคีโมบำบัด ผ่านช่วงที่หนึ่ง มาถึงสองสามสี่ห้า แคสซี่ก็ยังคงมองโลกในแง่ดีเสมอ เธอมีพลังใจที่น่าอัศจรรย์มาก แล้วเมื่อถึงจุดสุดท้ายมันก็กลายเป็นการสูญเสียที่ส่งผลกระทบกับผมมาก เวลาเห็นลูก ๆ ผมก็ยังคงคิดเธอ" สิ่งที่เพียร์ซเสียใจสุดก็คือ แคสซี่ พยายามผลักดันให้เขาได้เป็นเจมส์ บอนด์มาโดยตลอด หลังแคสซานดร้าเสียได้ 4 ปี เพียร์ซ ก็ได้เป็นเจมส์ บอนด์ แต่แคสซานดร้า ก็ไม่ได้อยู่เห็นเสียแล้ว จากวันนั้น เพียร์ซ ครองตัวเป็นโสดอีกถึง 10 ปี เขาแต่งงานอีกครั้งกับ คีลี เชย์ สมิธ นักข่าวอเมริกันในปี 2001 และมีลูกกับคีลีอีก 2 คน
7. ความตายยังคงมาพรากคนในครอบครัว
เพียร์ซกับชาร์ลอตต์ ลูกสาวคนโต
ปี 2013 ชาร์ลอตต์ ลูกสาวคนโตของแคสซานดร้า ที่เพียร์ซ ดูแลเธอต่อเนื่องหลังจากแม่เสียไป ก็รับพันธุกรรมโรคมะเร็งรังไข่มาจากแม่ และเสียชีวิตไปในวัยเพียง 42 ปี ,เพียร์ซ ได้ออกมาเล่าความรู้สึกในรายการทีวี Stand Up For Cancer ถึงการสูญเสียภรรยาและลูกสาวไปกับโรคมะเร็ง "การที่ต้องได้เห็นคนที่คุณรักต้องโดนกัดกินจากโรคร้ายไปทีละนิดทีละนิด มันเป็นช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าที่คุณจะไม่สามารถลบเลือนมันไปจากจิตใจได้ ผมได้กุมมือที่แข็งแรงและสวยงามของแคสซี่ไว้ในขณะที่มะเร็งรังไข่ก็มาพรากเธอไปอย่างเร็วเกินไป แล้วปีที่แล้วนี่เองผมก็ได้กุมมือชาร์ลอตต์ลูกสาวที่ร่าเริงและสดใสแต่โชคร้ายที่ต้องรับโรคที่เป็นพันธุกรรมมาจากแม่ของเธอ และจากไปอีกคน ไม่มีใครหนีพ้นความเจ็บปวดในชีวิต มันคือสัจธรรม"
8. บ้านไฟไหม้
ความซวยยังคงมาเยือนไม่หยุดหย่อน ปี 2015 คฤหาสน์มุลค่า 18 ล้านเหรียญในมาลิบู ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้ ขณะนั้นเพียร์ซและครอบครัวก็อยู่บ้านด้วย ไฟเริ่มลามมาจากโรงรถ คาดว่าเกิดจากเหตุไฟฟ้าชอร์ต แล้วลามไปยังห้องรับแขก โชคดีที่สัญญาณเตือนไฟไหม้ตรวจจับควันได้และส่งสัญญานเตือนให้ผู้คนวิ่งออกมาจากบ้าน พนักงานดับเพลิง 20 นายรีบมาถึงที่เกิดเหตุ ใช้เวลาถึง 30 นาทีในการดับเพลิง ประเมิณมูลค่าในการสูญเสียครั้งนี้ราวๆ 1 ล้านเหรียญ
9. ความภาคภูมิใจในชีวิต
แม้ชีวิตครอบครัวจะผ่านเรื่องทุกข์เศร้ามามาก แต่ภาพพจน์ในสังคมเพียร์ซก็ได้รับการตอบรับสรรเสริญอย่างสมเกียรติ ปี 2003 พระราชินีอลิซาเบ็ธได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิบริทิชอันมีค่ายิ่ง ชั้นเจ้าหน้าที่ (Officer of the Most Excellent Order of the British Empire) ให้กับเพียร์ซ บรอสแนน ในกรณีที่เขาทำผลงานโดดเด่นให้กับวงการภาพยนตร์อังกฤษ ทำให้เพียร์ซมีอักษรย่อ OBE ห้อยท้ายชื่อเป็นศักดินาติดตัวไปตลอด ปี2002 ได้รับปริญญากิติมศักดิ์จาก 2 สถาบัน วิทยาลัยเทคโนโลยีดับลิน และ มหาวิทยาลัยคอร์ก ปี2004 เพียร์ซ ได้รับการโอนสัญชาติให้เป็นประชาชนชาวอเมริกาแต่ด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นคนไอริช เพียร์ซยังคงถือสัญชาติไอริชพ่วงอยู่ด้วย "ความเป็นไอริชมันอยู่ในทุกสิ่งที่ผมทำ อยู่ในจิตวิญญาณคอยเตือนเสมอว่าผมเป็นใครและไม่เคยลืมว่ามาจากไหน"
10. นักสังคมสงเคราะห์ตัวยง
จากชีวิตที่เติบโตมาด้วยความยากลำบากจนถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จ เพียร์ซ ไม่เคยลืมรากเหง้าของตัวเอง เขาใช้เวลาว่างอุทิศตัวเพื่อสังคม และทำทุกวิถีทางเพื่อสังคมรอบตัวที่ดีขึ้น เขาเป็นฑูตของยูนิเซฟตัวแทนจากประเทศไอร์แลนด์มาตั้งแต่ปี 2001
ปี1990 เข้าร่วมโครงการรณรงศ์ของกรีนพีซต่อต้านนิวเคลียร์ เขาไม่ไปปรากฏตัวในรอบปฐมทัศน์ GoldenEye ในฝรั่งเศส เพราะปีนั้นฝรั่งเศสดำเนินการทดลองนิวเคลียร์ , เพียร์ซ และ คีลี ภรรยาของเขา ยังทำงานร่วมกับ สภาป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ - Natural Resources Defense Council และ องค์กรไม่แสวงหากำไร International Fund for Animal Welfare (IFAW) , สมาคมอนุรักษ์ธรรมชาติซีเชปเพิร์ด (Sea Shepherd Conservation Society) และมีการเคลื่อนไหวต่อต้านหลาย ๆ โครงการที่เป็นภัยต่อธรรมชาติและสัตว์ได้เป็นผลสำเร็จ
ในช่วงที่แคสซานดร้าป่วย เพียร์ซ ได้ใช้ช่วงเวลาที่ดูแลเธอกลับมารื้อฟื้นฝีมืองานเขียนภาพอีกครั้งเพื่อเป็นการบำบัดจิตใจไปในตัว เพียร์ซขายงานเขียนของเขาแล้วเอาเงินไปบริจาคให้กับมูลนิธิ ภายหลังแคสซานดร้าตาย เพียร์ซก็ยังคงเดินหน้าเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับ"กองทุนเพื่อสุขภาพอนามัยในเด็กและสตรี" ปี 2006 เพียร์ซรับหน้าที่โฆษกในงาน "Lee National Denim Day" ที่กางเกงยีนส์ลีจัดเพื่อหาทุนให้กับกองทุนเพื่อมะเร็งทรวงอก , ปี 2007 บริจาคเงินตัวเอง 100,000 เหรียญเพื่อสร้างสนามเด็กเล่นบนเกาะคาไว ในฮาวาย ซึ่งเขามีบ้านอยู่ที่นั่นด้วย
นับว่าเป็นดาราฮอลลีวู้ด ที่ต่อสู้ชีวิตมาได้อย่างน่านับถือ แม้จะเจออุปสรรคมาแทบจะตลอดชีวิต และยังเรื่องทุกข์เศร้าในครอบครัวแต่กำลังใจของเพียร์ซก็ยังดีมาก และ เป็นผู้ที่ตอบแทนคืนให้กับสังคมอย่างมาก และตลอดไป